Saturday, 27 July 2024

คุก 3 ปี “ชัยวัฒน์” คดีจับบิลลี่ หายตัว ปี 57 ปฏิบัติมิชอบ พ้นผิดอุ้มฆ่า

[ad_1]

ศาลอาญาคดีทุจริตฯพิพากษา จำคุก “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” 3 ปี ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ม.123/1 ในคดีการหายตัวของกะเหรี่ยง “บิลลี่” ตั้งแต่ปี 57 ก่อนได้ประกันตัววงเงิน 8 แสนบาท ส่วนลูกน้องอีก 3 คน ศาลยกฟ้อง เผยพยานหลักฐานสำคัญกระดูกขมับซ้ายที่พบใต้น้ำในเขื่อนแก่งกระจานยังไม่ชี้ชัดว่าเป็นบิลลี่ ขณะที่ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ-อธิบดีกรมอุทยานฯ ประสานเสียงยืนยันคดีนี้ไม่มีปัญหาต่อการทำงานของ “ชัยวัฒน์” เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด

ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อวันที่ 28 ก.ย. ศาลมีคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 4 คน ในคดีการหายตัวไปของนายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนเชื้อสายกะเหรี่ยง หลังถูกเจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ แก่งกระจานที่ 6 (ด่านเขามะเร็ว) จ.เพชรบุรี ควบคุมตัวด้วยข้อหาลักของป่า มีของกลางเป็นน้ำผึ้งป่า จากนั้นนายพอละจี หรือบิลลี่หายตัวไป ขณะที่ชุดจับกุมอ้างปล่อยตัวไปแล้ว เหตุเกิดเมื่อเดือน เม.ย. 57

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 57 จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจับกุมตัวนายพอละจี หรือบิลลี่ แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ไม่ได้ควบคุมตัวนายบิลลี่พร้อมของกลางส่ง สภ.แก่งกระจาน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจเปรียบเทียบดำเนินการตามกฎหมาย แต่ควบคุมตัวนายบิลลี่พร้อมของกลางไปยังสถานที่ใดไม่ปรากฏ ใช้ปืนควบคุมตัวไว้ในรถกระบะเป็นการข่มขืนใจหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ต่อมาจำเลยทั้งสี่ร่วมกันฆ่านายบิลลี่โดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพราะจำเลยที่ 1 มีเหตุขัดแย้งและโกรธเคืองกันมาก่อน จากนั้นจำเลยทั้งสี่ร่วมกันเผาทำลายศพแล้วเก็บชิ้นส่วนที่เหลือจากการเผาใส่ถังน้ำมัน 200 ลิตร นำไปทิ้งลงน้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน เพื่อทำลายหลักฐานอำพรางคดี เหตุเกิดที่ ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี และ ต.พี่น้อง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เกี่ยวพันกัน คดีนี้จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ ระหว่างการพิจารณาบุตรและมารดาของนายบิลลี่ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยตามทางไต่สวนแล้ว เห็นว่าโจทก์ฟ้องความผิดข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่นำตัวนายบิลลี่ พร้อมของกลางส่งให้เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ การกระทำของจำเลยที่ 1 มีความผิดตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2-3 ไม่มีเจตนาพิเศษร่วมกระทำผิด และจำเลยที่ 4 ไม่มีเจตนาสนับสนุนการกระทำผิด จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจ หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังฯ แม้คำให้การและพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสี่มีพิรุธหลายประการ อีกทั้งเส้นทางที่จำเลยทั้งสี่อ้างว่าใช้เดินทางหลังปล่อยตัวนายบิลลี่ กล้องวงจรปิดในเส้นทางที่ต้องผ่านไม่พบรถยนต์ที่จำเลยทั้งสี่ขับผ่าน แต่กลับไปพบรถยนต์ที่จำเลยทั้งสี่ใช้วิ่งไปด่านเขาสามยอดอีกเส้นทางก็ตาม แต่จะนำเฉพาะคำให้การของจำเลยทั้งสี่เป็นพิรุธจะมาลงโทษจำเลยไม่ได้

การพิสูจน์ความผิดต้องมีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักมั่นคงมาพิสูจน์ว่ามีการกระทำผิดและจำเลยทั้งสี่เป็นผู้กระทำผิด หลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมมีเพียงภาพจากกล้องวงจรปิดที่ชี้ให้เห็นว่าคำให้การจำเลยทั้งสี่มีพิรุธ แต่ภาพจากกล้องวงจรปิดเส้นทางไปด่านเขาสามยอดไม่ชัดเจนพอที่จะยืนยันการกระทำผิด อีกทั้งไม่มีหลักฐานทั้งพยานบุคคล วัตถุพยาน หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์มายืนยันได้ว่าจำเลยทั้งสี่พานายบิลลี่ไปด่านเขาสามยอด พยานหลักฐานจึงไม่มีน้ำหนักพอรับฟังว่าจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่านายบิลลี่โดยไตร่ตรอง ไว้ก่อน ส่วนผลการตรวจไมโทคอนเดรียดีเอ็นเอ ชิ้นส่วนกระดูกขมับข้างซ้ายที่พบใต้น้ำในเขื่อนแก่งกระจานเป็นของบุคคลที่ถ่ายทอดจากมารดาสู่บุตร แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของบุคคลใด การวิเคราะห์กระดูกวัตถุพยานพบเป็นของบุคคลอายุ 20 ปีขึ้นไปไม่สามารถบอกเพศ ความสูง และเชื้อชาติซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพิสูจน์เอกลักษณ์ของบุคคลได้ การนำแผนผังเครือญาติมาใช้ประกอบผลการตรวจหาดีเอ็นเอแบบไมโทคอนเดรียยังมีข้อเท็จจริงที่ไม่เป็นการจำกัดวงอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้และไม่มีแพทย์หรือผู้ตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ยืนยัน จึงฟังไม่ได้ว่ากระดูกขมับข้างซ้ายเป็นของนายบิลลี่ พิสูจน์ไม่ได้ว่านายบิลลี่ถึงแก่ความตายแล้ว ทำให้ไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ความผิดข้อหาร่วมกันเผาทำลายศพ

เมื่อพิสูจน์ไม่ได้ว่ากระดูกที่พบเป็นของนายบิลลี่ ประกอบกับโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามไม่มีประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมใกล้ชิดเห็นหรือเชื่อมโยงได้ว่าจำเลยทั้งสี่นำถังน้ำมันของกลางไปทิ้งในเขื่อน จึงไม่มีพยานรับฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่เช่นกัน

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ม.123/1 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ม.123/1 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จึงให้จำคุก 3 ปี และยกฟ้องจำเลยที่ 2-4 ต่อมานายชัยวัฒน์ยื่นขอประกันตัว ศาลอนุญาตในวงเงิน 8 แสนบาท พร้อมมีคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล

หลังฟังคำพิพากษา นายชัยวัฒน์เปิดเผยว่า ขอขอบคุณที่ศาลเมตตาและขอบคุณทีมทนายความ ที่ได้ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ 800,000 บาท เงื่อนไขเดิมคือห้ามออกนอกประเทศ ยืนยันมาตลอดไม่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนายบิลลี่ แต่ตนถูกลงโทษในเรื่องการปล่อยตัวนายบิลลี่กลางทาง จำคุก 3 ปีโดยไม่รอลงอาญา ทั้งนี้ เตรียมยื่นอุทธรณ์ในส่วนของความผิด ม.157 ในการละเว้นไม่นำตัวผู้ต้องหาไปส่งพนักงานสอบสวน โดยพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่กรมอุทยานทั่วไปนั้น มีความสุ่มเสี่ยงที่จะมีความผิดตาม ม.157 กันทุกคน เพราะว่าเราอยู่ในชุมชนนั้นแล้วพยายามจะอยู่กับชุมชนให้ได้โดยไม่ทะเลาะกัน อย่างเหตุในคดีนี้เป็นเรื่องของน้ำผึ้งป่าที่ตามกฎหมายเดิมไม่สามารถให้ชาวบ้านหรือชุมชนนำของป่าออกไปขายได้ แต่ปัจจุบันมีการออกกฎหมายใหม่ให้สิทธิราษฎรทำกินได้ เก็บของป่าอยู่ภายใต้กฎหมาย

“ผมขอยืนยันไม่มีเจตนาที่จะไปทำร้ายใครทั้งนั้นและผมไม่เคยจับกุมกลุ่มชาติพันธุ์ แม้กระทั่งผู้ที่ไปทำร้ายป่าที่ผมดูแลอยู่จนสภาพยับเยินก็ตาม คดีนี้ผมยังมีโอกาสต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ตามขั้นตอน” นายชัยวัฒน์กล่าว

ขณะที่นางพิณนภา หรือมึนอ พฤกษาพรรณ ภรรยานายบิลลี่ ถึงกับร่ำไห้หลังทราบคำพิพากษา ยืนยันอยากตามหาสามีให้พบเพื่อให้หายข้องใจ นายบิลลี่หายตัวไปไหน ส่วนทนายความโจทก์ร่วมกล่าวยืนยันจะยื่นอุทธรณ์คดีนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากศาลลงโทษเฉพาะความผิด ม.157 กรณีไม่นำตัวนายบิลลี่ส่งพนักงานสอบสวนตามขั้นตอนของกฎหมายหลังการจับกุม คดีนี้เท่ากับย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นว่านายบิลลี่ยังคงเป็นบุคคลสูญหาย ถือเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐในการพิสูจน์การหายตัวไปของนายบิลลี่

วันเดียวกัน นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยถึงกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ อ่านคำพิพากษาคดีฆาตกรรมนายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ โดยตัดสินสั่งจำคุกนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร เป็นเวลา 3 ปี โดยไม่รอลงอาญาว่า เจ้าตัวรายงานให้ทราบแล้ว กรณีนี้ไม่มีปัญหาสำหรับการปฏิบัติหน้าที่เพราะคดียังไม่สิ้นสุด ยังต่อสู้ในชั้นศาลได้อีก

ด้านนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ในแง่ของการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ ไม่น่าจะมีปัญหาเพราะเป็นศาลชั้นต้น และคดีที่ตัดสินก็เป็น ม.157 เป็นเรื่องของการไม่นำตัวนายบิลลี่ส่งตำรวจ ไม่ใช่เรื่องการอุ้มทำลายศพตามข้อกล่าวหาและศาลอนุญาตให้ประกันตัว สามารถสู้กันในชั้นศาลอื่นได้อีก

“ในฐานะนายชัยวัฒน์เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ผมก็ให้กำลังใจทำงานต่อไป โดยต้นสังกัดจะให้ความช่วยเหลือตามความเหมาะสม ทั้งนี้ นายชัยวัฒน์เป็นคนตั้งใจและทุ่มเทเรื่องการทำงาน” นายจตุพรกล่าว

[ad_2]

Source link